ประวัติผู้ก่อตั้ง: คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร ประธานกรรมการ บริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
"การงานคือภารกิจหลักในชีวิต หากลงมือทำด้วยใจรักและความมุ่งมั่น ก็ไม่มีสิ่งใดเกินเอื้อม"
ด้วยวิสัยทัศน์อันแน่วแน่และแรงขับเคลื่อนจากหัวใจของนักสู้ คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการผู้ปลุกปั้นแบรนด์ จากัวร์ ให้เติบโตจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องครัวสเตนเลสของประเทศไทย
เส้นทางชีวิตของคุณศรชัยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ท่านเติบโตมาท่ามกลางความยากลำบาก แต่ด้วยความรักในงานที่ทำ ความเพียรอันไม่ย่อท้อ และความเชื่อมั่นว่าธุรกิจที่ดีต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้คนในทุกมิติ ท่านจึงยืนหยัด สร้างธุรกิจด้วยสองมือและหนึ่งหัวใจ
คุณศรชัยมองเห็นว่า การสร้างงานที่มั่นคงไม่ได้เป็นเพียงหนทางแห่งความสำเร็จส่วนบุคคล หากแต่คือการขับเคลื่อนสังคมผ่านห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ครอบครัวของพนักงาน ผู้ผลิตวัตถุดิบ คู่ค้า พ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์คุณภาพของบริษัท
ปรัชญาชีวิตของท่านอัดแน่นด้วยแนวคิดแบบไทยที่มั่นคง...ความวิริยะ อุตสาหะ ความมัธยัสถ์ และการรู้จักตอบแทนคืนสู่สังคม ท่านเป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการที่ไม่ได้วัดความสำเร็จจากผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับการ ส่งต่อประโยชน์ สู่คนรอบข้างอย่างแท้จริง
คุณศรชัยผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ บริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทร่วมทุนในเครือหลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ด้วยการบริหารที่เปิดกว้าง มุ่งเน้นนวัตกรรม และยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก ทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศ
จุดเริ่มต้นของนักสร้าง เรื่องราววัยเยาว์ของคุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร
คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร ประธานกรรมการ บริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ณ ตำบลบางลูกเสือ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 4 คนในครอบครัวชาวจีนอพยพ
บิดามารดาของท่าน คือคุณเฮาะเม้ง แซ่เอี้ยว และคุณกิมไน้ แซ่ฮ้อ ซึ่งอพยพจากประเทศจีนมายังประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอาศัยการเดินทางทางเรืออย่างลำบาก มาปักหลักที่กรุงเทพฯ บริเวณวงเวียนใหญ่ ทำงานรับจ้างเลี้ยงชีพ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากที่จังหวัดนครนายก เปิดร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่จำหน่ายตั้งแต่กาแฟ รำข้าวหมู ปลาทู ไปจนถึงไม้ฟืน ด้วยความมุมานะและความพยายามในการดำเนินชีวิต
เด็กทั้งสี่เติบโตขึ้นในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ริมคลอง โดยเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดอรุณรังษีในชุมชนท้องถิ่น คุณครูสมัย พรหมประเสริฐ ซึ่งเคยสอนเด็กทั้งสี่ เล่าว่าทุกคนเป็นเด็กขยัน เรียบร้อย รักน้อง เคารพผู้ใหญ่ และมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในชีวิตของคุณศรชัยในเวลาต่อมา
เส้นทางพ่อค้าเด็ก ค้าขายตั้งแต่วัย 11 ปี
แม้ยังอยู่ในวัยเรียน แต่คุณศรชัยแสดงให้เห็นถึงความขยันขันแข็งและจิตวิญญาณของผู้ประกอบการอย่างชัดเจนตั้งแต่อายุ 11 ปี ท่านช่วยครอบครัวค้าขายรำข้าวหมูตั้งแต่เช้ามืด โดยพายเรือจากบ้านที่คลอง 16 ไปยังตลาดรังสิต ซึ่งในยุคนั้นต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงผ่านเส้นทางน้ำที่คดเคี้ยวและบางครั้งเต็มไปด้วยกระแสน้ำเชี่ยว
ขากลับจากตลาด ท่านจะรับปลาทูติดเรือกลับมาขายต่อ เพื่อให้ทุกเที่ยวคุ้มค่า ท่านมักขายของหมดตั้งแต่ยังไม่ถึงบ้าน และยังสามารถกลับมาเรียนหนังสือให้ทันเวลา 8 โมงเช้า ก่อนจะเลิกเรียนบ่ายสามแล้วกลับมาช่วยที่บ้านอีกครั้ง หากต้องขนไม้เพื่อเผาฟืนขาย ท่านและพี่ชายก็จะเดินทางไปไกลถึงปราจีนบุรี ล่องเรือแบบเหมาลำกลางแม่น้ำใหญ่ มีทั้งลม ฝน คลื่น และภาระน้ำหนักไม้ที่แทบทำให้เรือจม แต่ด้วยความอดทนและไหวพริบของสองพี่น้อง การเดินทางแต่ละครั้งจึงสำเร็จเสมอ บางครั้งเมื่อล่องเรือทวนน้ำไม่ได้ ก็ต้องลงไปลอยคอลากเรือกลับ หรือผูกเชือกเดินลากตามฝั่ง
สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงความขยัน แต่ยังสะท้อนความคิดวางแผนเป็นระบบ ความไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก และการมองเห็นโอกาสในทุกสถานการณ์ ซึ่งกลายมาเป็นคุณลักษณะเด่นที่หล่อหลอมท่านให้เป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
ก้าวแรกในเมืองใหญ่ จุดเริ่มต้นของพ่อค้าแห่งความมุ่งมั่น
หลังจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 4 คุณศรชัยต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อมารดาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2502 ท่านจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ขณะมีอายุเพียง 12 ปี เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว และเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการขายปลาทูที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ แม้ยังเยาว์วัย แต่คุณศรชัยไม่เพียงแค่ทำงานเพื่อปากท้อง หากยังใช้โอกาสที่ได้พบปะผู้คนหลากหลายอาชีพเป็นแหล่งเรียนรู้ชีวิต จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2504 ได้ย้ายเข้ามาอยู่กับลูกพี่ลูกน้องชื่อ โอปิค ที่นางเลิ้ง และเริ่มฝึกงานซ่อมปากกา
ความมานะอุตสาหะของเขาเห็นได้จากการหาความรู้เพิ่มเติมในช่วงเวลาหลังเลิกงาน โดยไปเรียนภาษาอังกฤษ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะนำไปใช้อย่างไร ท่านยังใช้ความอดออมเก็บเงินจากรายได้เพียงเล็กน้อย เพื่อค่อย ๆ สร้างโอกาสทางธุรกิจของตนเอง
จากปากกาสู่สายนาฬิกา การเปลี่ยนผ่านด้วยสายตาของนักปรับตัว
ด้วยทุนเริ่มต้นเล็กน้อยจากน้ำพักน้ำแรง คุณศรชัยเริ่มต้นธุรกิจซ่อมปากกาโดยรับของจากโรงรับจำนำมาซ่อมแซมให้เหมือนใหม่ แล้วขายเองเป็นเซลล์อิสระ พร้อมกับย้ายครอบครัวจากนครนายกมาอยู่ด้วยกันที่ฝั่งธนบุรี ก่อนจะตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ปากกาสยาม และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายเพชร ผลิตปากกาหมึกซึมยี่ห้อ ฟาร์เตอร์ แบบครบวงจร แต่ตลาดเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คาด เมื่อผู้บริโภคหันไปใช้ปากกาหมึกแห้งแทนปากกาหมึกซึม คุณศรชัยเลือกไม่ฝืน ท่านปรับตัวด้วยสายตาเฉียบคม เปลี่ยนแนวสู่การผลิต สายนาฬิกาโลหะ ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นตลาดใหม่ที่มีโอกาสสูง และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตธุรกิจ
จุดเริ่มต้นของชีวิตครอบครัว ความรักคู่ขนานกับความมั่นคง
ในปี พ.ศ. 2512 ขณะที่ธุรกิจเริ่มมีเสถียรภาพ คุณศรชัยได้พบกับคุณสุจิตรา นิรามยกุล หญิงสาวที่มีความรู้ด้านเครื่องหนังโดยตรง ทั้งด้านการเลือกวัสดุ การออกแบบ และการผลิต ทั้งสองจึงได้เริ่มต้นชีวิตคู่ร่วมกัน และใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละฝ่ายผสานกันอย่างลงตัวในธุรกิจสายนาฬิกา
สาย รุ่นสิงห์ดำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรก ๆ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เพราะเป็นงานฝีมือคุณภาพสูง ต้องอาศัยความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ถือเป็นหนึ่งในสายนาฬิกาโลหะที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในยุคนั้น โดยเฉพาะเมื่อสามารถทำให้ลูกค้ารายใหญ่จากญี่ปุ่นให้การรับรองคุณภาพได้สำเร็จ
ความเป็นผู้นำที่สร้างคน วัฒนธรรมองค์กรแบบ พี่น้อง
เมื่อกิจการเติบโตขึ้น คุณศรชัยให้ความสำคัญกับบุคลากรทุกระดับเสมอมา ท่านยึดหลัก ยุติธรรม เสมอภาค และจริงใจ เป็นแนวทางในการบริหารทีมงาน ตรงไปตรงมาในเวลางาน แต่มีอัธยาศัยดี พูดคุยสบาย ๆ นอกเวลา ทุกเช้า ท่านเป็นคนแรกที่เข้าโรงงาน ตรวจงาน แจกแจงหน้าที่ และอยู่ร่วมกับพนักงานจนสิ้นวัน จนกลายเป็นกิจวัตรที่สะท้อนความรับผิดชอบ ความทุ่มเท และการเป็น ผู้นำที่ลงมือจริง
แม้จะไม่ได้หยุดพักแทบทั้งเดือน แต่เมื่อแต่งงานแล้ว ภรรยาได้ขอให้หยุดพักอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน เพื่อรักษาสมดุลชีวิต ท่านจึงเริ่มมีวันหยุดอย่างแท้จริงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
จุดเปลี่ยนจากสายหนังสู่สเตนเลส การพลิกธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์
แม้ธุรกิจสายนาฬิกาหนังจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร ก็ไม่หยุดนิ่ง ท่านปรับธุรกิจเข้าสู่ยุคสายนาฬิกาโลหะ ด้วยการซื้อเครื่องจักรใหม่และปรับปรุงเครื่องเดิมให้สามารถผลิตสายสเตนเลสได้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่อุตสาหกรรมโลหะอย่างจริงจัง
การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของท่านคือการไปฮ่องกงเพื่อติดต่อซื้อวัตถุดิบสเตนเลส ทั้งที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ ท่านถือเพียงจดหมายธุรกิจฉบับเดียวและความตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่กลับถ้ายังไม่สำเร็จ ความพยายามในครั้งนั้นคือแบบฉบับของนักสร้างที่กล้าฝันและกล้าลงมือ
การขยายโรงงานและการพัฒนาแบรนด์ จากัวร์
ปี พ.ศ. 2524 โรงงานใหม่ของครอบครัวจันทร์ทายะวิจิตรได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ย่านภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมทั้งสายหนัง สายสเตนเลส และผลิตภัณฑ์เครื่องหนังแบรนด์ Jaguar ซึ่งคุณสุจิตรา ภรรยาของคุณศรชัย เป็นผู้ดูแลการออกแบบ การผลิต และการตลาดอย่างใกล้ชิด ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศในยุโรป ความสำเร็จในระดับสากลนี้ เป็นผลจากคุณภาพ การออกแบบ และความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์
จากแนวคิดสู่เครื่องครัว จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
เมื่อมองเห็นความไม่แน่นอนของสินค้าแฟชั่น คุณศรชัยจึงเริ่มพัฒนาแนวคิดการผลิต "เครื่องครัวสเตนเลส" เช่น ช้อน ส้อม และภาชนะต่าง ๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุและการผลิตที่สั่งสมมาจากธุรกิจสายสเตนเลสเดิม
จุดเปลี่ยนนี้เองที่ทำให้คุณศรชัยตัดสินใจยกระดับธุรกิจจากการลองผิดลองถูก สู่การทำงานอย่างมีระบบ มีที่ปรึกษาเฉพาะทาง เช่น ดร.เกียรติชัย ศานติยานนท์, ดร.พล สาเกทอง และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ อาทิ คุณ
โรเบิร์ต ฮาร์ททอต นักโลหะวิทยาชาวแคนาดา
ผลิตภัณฑ์เครื่องครัวภายใต้ชื่อ จากัวร์ (Jaguar) ได้รับความนิยมและขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ จนในปี พ.ศ. 2529 จึงได้จดทะเบียนเป็น บริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ
ความซื่อสัตย์คือทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในระหว่างการขยายธุรกิจ มีเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนจริยธรรมของคุณศรชัยได้อย่างชัดเจน คือการที่บริษัทญี่ปุ่นขอสุ่มตรวจสอบสแครปสเตนเลสที่จะส่งออก ท่านยินดีให้ตรวจทุกตู้ ทุกก้อน โดยไม่ลังเล และสั่งให้พนักงานอำนวยความสะดวกเต็มที่ นับแต่นั้นมา บริษัทญี่ปุ่นไม่เคยขอตรวจสอบอีกเลย
การเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการวางรากฐานแห่งอุตสาหกรรม ตลอดช่วงปี พ.ศ. 25322548 ธุรกิจของคุณศรชัยได้ขยายออกอย่างเป็นระบบ ได้แก่
พ.ศ. 2532 เปิดโรงงานผลิตกาน้ำและเครื่องขึ้นรูป
พ.ศ. 2534 ขยายโรงงานและปลูกสวนป่ายูคาลิปตัส
พ.ศ. 2538 เปิดโรงงานผลิตมีดสเตนเลส
พ.ศ. 2542 เปิดโรงงานที่จังหวัดตาก
พ.ศ. 2545 เปิดบริษัทนำเข้าและจำหน่ายสเตนเลสแฟ่นและม้วน
พ.ศ. 2547 เปิดบริษัทผลิตเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารระดับพรีเมี่ยม
พ.ศ. 2548 เปิดบริษัท อีเทอร์นอส จำกัด ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องครัวสเตนเลส
แบรนด์ Jaguarware ได้รับมาตรฐานคุณภาพ ISO 90012000 และได้รับการรับรองจากหลายประเทศ ทั้งอินเดีย เวียดนาม จีน พม่า สเปน ฝรั่งเศส ฯลฯ
แบบอย่างของนักธุรกิจที่ยึดมั่นในคุณธรรม
แม้ภารกิจทางธุรกิจจะหนักหน่วง คุณศรชัยยังคงอุทิศเวลาเพื่อทำประโยชน์แก่สังคมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคสิ่งของให้แก่กาชาด ทุนการศึกษา การสนับสนุนกีฬา หรือสมทบทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามโครงการของสมเด็จพระเทพฯ ท่านยังให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลานในครอบครัว สนับสนุนให้ทุกคนใฝ่รู้ พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
มรดกแห่งชีวิตและแรงบันดาลใจ
คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์อย่างแท้จริง แต่ด้วยความเพียร ความอดทน ความซื่อสัตย์ และสายตาอันเฉียบคมทางธุรกิจ ท่านสามารถวางรากฐานธุรกิจที่มั่นคง ส่งต่อโอกาสให้พนักงานหลายร้อยชีวิต และสร้างประโยชน์แก่สังคมไทยในวงกว้าง
แม้ท่านจากไปแล้ว แต่ผลงาน ความดีงาม และแรงบันดาลใจที่ท่านทิ้งไว้ยังคงเติบโต แตกกิ่งก้านสู่อนาคตอย่างยั่งยืน และกลายเป็นแบบอย่างอันทรงคุณค่าให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และคนทำงานผู้มุ่งมั่นทั่วประเทศ