เกี่ยวกับบริษัท

รางวัลคุณภาพดีเด่น จากกรุงมาดริด ประเทศสเปน

International Trophy for Quality from Madrid, Spain

รางวัลส่งออกยอดเยี่ยม จากกรุงมาดริด ประเทศสเปน

International Award to Export from Madrid, Spain

ได้รับรางวัลคุณภาพและเทคโนโลยีล้ำสมัย จากกรุงเจนิวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

New Millennium Award for Technology and Quality from Geneva, Switzerland

ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ

ISO 9001 : 2008 Certificate 

 

 

ประวัติผู้ก่อตั้ง

ด้วยอาลัยแด่...คุณศรชัย

 

    

 

          การงานนั้นถือเป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นหากคนๆ หนึ่งมีความรักในงานที่ทำ อีกทั้งยังทุ่มเทพลังกาย พลังใจและพลังความคิดอย่างสุดความสามารถแล้วละก็..ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่า บุคคลผู้นั้นจะสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพการงาน ประสบความสำเร็จในชีวิตแบบหาคนเทียบได้โดยยาก คุณศรชัย นับเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในลักษณะนี้ ท่านเป็นผู้สร้างตัวเองขึ้นมาจากหลุมหลืบแห่งความยากจนและความแร้นแค้นในวัยเด็ก อาศัยความรักและความทุ่มเทให้กับการทำงาน แม้เผชิญกับความยากลำบากนานับปการ ท่านก็ไม่เคยย่อท้อหรือคิดจะยอมแพ้ เพราะท่านเล็งเห็นตั้งแต่เริ่มแรกว่า หากท่านทำการงานธุรกิจได้ประสบความสำเร็จ ก็ย่อมก่อคุณประโยชน์ให้มากมาย ไม่เพียงแต่ตนเองและครอบครัวเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ แต่ยังรวมถึงพนักงาน ครอบครัวของพนักงาน และทุกส่วนภาคธุรกิจที่อยู่ในสายโซ่แห่งคุณค่าที่เนื่องด้วยธุรกิจของท่าน ซึ่งรวมถึงผู้จำหน่ายวัตถุดิบ ผู้แทนจำหน่าย แม่ค้าพ่อค้าที่รับสินค้าท่านไปใช้ทำธุรกิจของตนเอง และอรรถประโยชน์ที่ลูกค้าหลายคนได้รับจากการใช้สินค้าระดับดีจากโรงงานของท่าน ซึ่งที่จริงก็คือการสร้างงานเพื่อกระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนในวงกว้างของสังคมไทย นอกจากนี้ หากเราได้ศึกษาอัตชีวประวัติของท่านอย่างละเอียด เราทุกคนย่อมเห็นแบบอย่างของปรัชญา ความคิด ความวิริยะ อุตสาหะ และความมัธยัสถ์ อันเป็นแบอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม

          คุณศรชัย ประธานกรรมการ บริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขยายธุรกิจของบริษัทฯ จนมีสาขาและบริษัท ร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ หลายบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคุณศรชัยมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการของบริษัท จากัวร์ อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และในบริษัทร่วมทุนต่างๆ

          คุณศรชัยเกิดที่ตำบลบางลูกเสือ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 เป็นบุตรนายเฮาะเม้ง แซ่เอี้ยว และนางกิมไน้ แซ่ฮ้อ คุณศรชัย เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 4 คน ครอบครัวได้อพยพมาทางเรือจากประเทศจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีครอบครัวของพี่สาว (คุณป้าคุณศรชัย) อพยพล่วงหน้ามาก่อน เมื่อคณเฮาะเม้งและคุณกิมไน้เดินทางมาถึงเมืองไทย ก็อาศัยในกรุงเทพฯ ย่านวงเวียนใหญ่ ทำงานรับจ้างทั่วไป แล้วจึงค่อยย้ายไปอยู่ที่นครนายก ทำอาชีพค้าขายโดยเปิดเป็นร้านขายของชำ ขายกาแฟ และสินค้าอื่นๆ ตามที่จะพอมีกำลังหามาขายได้ เช่น รำข้าวหมู ปลาทู ฟืนหุงข้าว ฯลฯ คุณศรชัยและพี่น้องทุกคนถือกำเนิดที่บ้านหลังนี้เอง เมื่อเป็นเด็ก พี่น้องทั้งสีได้ที่โรงเรียนวัดอรุณรังษี ตำบลบางลูกเสือ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก (ปัจจุบันนี้ยังคงเปิดสอนอยู่ แต่อาคารเรียนหลังเก่าได้รื้อไปและก่อสร้างใหม่หมดแล้ว) ทั้งสี่คนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 คุณครูสมัย พรหมประเสริฐ ซึ่งเคยสอนคุณศรชัยและพี่น้อง ได้เล่าว่าพี่น้องทั้ง 4 คนเป็นเด็กฉลาด ขยัน เป็นเด็กเรียบร้อย ไม่เกเร แม้จะไม่โดดเด่นให้จดจำเหมือนเด็กเฮี้ยวๆ ทั่วไป แต่ที่ทำให้จำเด็กบ้านนี้ได้เพราะคุณครูกับคุณพ่อเฮาะเม้งสนิทสนมกันดี ตกเย็นพอได้เวลาน้องสาวคุณศรชัย (คุณสิริพร) ก็มีหน้าที่ไปชวนคุณครูมานั่งคุยกับคุณพ่อเสมอ ซึ่งคุณครูก็ใจดีมักให้ค่าขนมคุณสิริพรตอบแทนด้วยเช่นกัน จึงได้เห็นถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ พี่น้องรักใคร่กัน ช่วยเหลือกันดี มีความเคารพผู้ใหญ่ แม้เมื่อเติบโตจนมีการงานมั่นคงกันหมดแล้วแต่เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระประจำปีของหมู่บ้านหรืองานสำคัญเช่นงานศพเจ้าอาวาส คุณศรชัยและพี่น้องก็ยังพยายามหาเวลามาเยี่ยมเยียนคุณครูเสมอ รวมถึงคุณครูท่านอื่นด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ความขยันในเชิงค้าขายมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เอารำข้าวหมูไปขายที่รังสิต ขากลับก็รับปลาทูมาจากรังสิตกลับมาขาย จะได้ไม่พายเรือเสียเที่ยว เนื่องจากเป็นคนค้าขายเก่ง มาถึงคลอง 16 ก็มักจะขายหมดแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยไปโรงเรียน เข้าเรียน 8 โมงเช้า เลิกเรียนบ่าย 3 โมง แล้วจึงกลับมาช่วยงานที่บ้าน ในสมัยนั้นหนทางที่สะดวกในการติดต่อระหว่างตำบลบางลูกเสือกับรังสิตก็มีเส้นทางเดียวคือทางเรือ ดังนั้นในบางครั้งที่ต้องซื้อไม้มาเผาทำฟืนขาย ต้องเดินทางผ่านแปดริ้วไปถึงปราจีนฯ ไปกันข้ามวันข้ามคืน ก็ต้องใช้เรือลำใหญ่ไปขนกลับมา โดยไปกันสองคนพี่น้อง เรือใหญ่นำหน้า เรือเล็กผูกตามหลัง ในสมัยนั้นขายไม้กันแบบเหมาลำ มีเรือมาขนาดไหน สามารถขนได้เท่าไหร่ ก็ขนไป เพื่อให้คุ้มค่ากับการเดินทาง ที่ไกลเป็นสิบๆ กิโลเมตร พี่คนโตกับคุณศรชัย จึงมักใส่ไม้จนกราบเรือปริ่มน้ำไม่ให้เหลือที่ว่างเลย โดยเรียงไม้ท่อนใหญ่สำหรับมาใช้ทำรั้วและเผาเป็นฟืนไว้ข้างล่าง ท่อนเล็กอยู่ข้างบน เพื่อให้หยิบขายได้ง่ายระหว่างเดินทางกลับ ส่วนตัวคนที่เลือกที่จะยินดีไปลอยคอในน้ำแทน เกาะขอบเรือ ว่ายพาเรือกลับมา ช่วงไหนที่ไปตามกระแสน้ำก็เบาแรงหน่อย แต่ช่วงไหนน้ำเชี่ยว ลมแรง สองพี่น้องก็ต้องขึ้นฝั่งใช้เชือกผูกเรือแล้วเดินลากเอา ยิ่งถ้าเจอฝนตกเข้าแล้วละก็น้ำฝนทีตกลงมาท่วมขังในเรือก็เกือบทำให้เรือล่มทีเดียว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเคยล่มสักที

 

 

          เมื่อเรียนจบ ป.4 พี่คนโตได้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ โดยทำงานรับจ้างทั่วไป หิ้วน้ำขาย ขับสามล้อ ซ่อมสามล้อ ออกทะเลไปกับเรือเดินสมุทร จนเมื่อคุณแม่กิมไน้เสีย (พ.ศ. 2502) คุณศรชัยจึงได้เดินทางจากจังหวัดนครนายก มาอีกคนเพื่อหางานทำแบ่งเบาภาระทางบ้าน เมื่ออายุได้ 12 ปี โดยเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นพ่อค้าขายปลาทู อยู่ที่ปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ทำให้มีโอกาสได้พบปะบุคคลระดับต่างๆ และพบเห็นการประกอบกิจการอาชีพอื่นๆ มาก จนกระทั่ง 2 ปีต่อมา พ.ศ. 2504 ได้ย้ายมาฝึกงานกับลูกพี่ลูกน้องชื่อโอปิคที่นางเลิ้ง คุณศรชัยได้เรียนรู้การซ่อมปากกาจนมีความชำนาญ ตกเย็นหลังเลิกงานแล้วคุณศรชัยยังได้หาความรู้เพิ่มเติมโดยไปเรียนภาษาอังกฤษด้วย แม้ขณะนั้นจะไม่ได้ใช้ก็ตาม และจากความที่เป็นคนขยัน และประหยัด อดออม เมื่อเริ่มมีเงินเก็บพอควร ต่อจากนั้นก็ได้ออกมาตั้งกิจการเอง โดยเริ่มต้นย้ายมาเช่าบ้านอยู่ที่แถวถนนตากสินฝั่งธนบุรี แรกๆ ก็เป็นห้องแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ คุณศรชัยเริ่มต้นโดยทำธุรกิจไปซื้อของประเภทปากกาและของใช้โลหะ จากโรงรับจำนำมาซ่อมแซมและทำให้เป็นของใหม่ขาย จากนั้นก็เริ่มขยับมาเป็นเซลล์ขายปากกาเองและย้ายครอบครัวจากนครนายกมาอยู่ด้วยกัน เมื่อกิจการเติบโตขึ้นจึงได้ย้ายมาเช่าตึกแถวหลังโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ติดถนนลาดหญ้า ตั้งเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ปากกาสยาม ได้ลงทุนไปพอสมควร มีเครื่องดัดเหล็ก เครื่องปั๊ม อุปกรณ์ทุกอย่างมีหมด ทำแบบครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงสำเร็จรูป และในช่วงปี พ.ศ. 2510-2513 จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ห้างหุ้นส่วนจำจัด สายเพชร ผลิตปากกาหมึกซึมยี่ห้อฟาร์เตอร์ เป็นธุรกิจครอบครัว พี่น้องทุกคนช่วยกัน คุณศรชัยเป็นทั้งผู้จัดการและเซลล์ขายของเอง เดินออกหาลูกค้าเอง หลังจากเริ่มทำได้ไม่นาน ตลาดปากกาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยนิยมใช้ปากกาหมึกซึม คนได้เริ่มหันมานิยมใช้ปากกาหมึกแห้งด้ามพลาสติคแทน ด้วยความที่สะดวกกว่าและราคาถูกกว่า ทำให้ธุรกิจปากกาหมึกซึมเริ่มประสบปัญหาขาดทุน เมื่อเห็นว่ามีปัญหา คุณศรชัยก็ไม่ได้ดื้อดึงฝืนทำธุรกิจปากกาหมึกซึมต่อไป จึงได้เปลี่ยนแนวธุรกิจมาทำสายนาฬิกาแทนโดยทำเป็นสายสเตนเลส ในปี พ.ศ. 2512 นี้เอง ที่คุณศรชัยได้พบกับคุณสุจิตรา นิรามยกุล และประกอบพิธีมงคลสมรสกันขึ้น เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2512

 

 

          ในสมัยนั้นร้านขายปากกาและนาฬิกาจะเป็นร้านเดียวกัน ทำให้ไม่เสียกลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยติดต่อกันมานาน ส่วนอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทำปากกา ก็สามารถนำมาปรับใช้ทำสายนาฬิกาได้ และข้อสำคัญ ภรรยาของคุณศรชัยนั้นมีความถนัดในเรื่องเครื่องหนังอยู่ก่อนแล้ว ทั้งการคัดเลือกวัตถุดิบ การผลิต จนถึงการออกแบบ ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาศัยทุนเดิมที่มีอยู่แล้ว คือกลุ่มลูกค้าและความถนัดของผู้ประกอบการ มาปรับใช้ไปสู่ธุรกิจใหม่ได้เป็นอย่างดี

          ช่วงแรกของการทำสายนาฬิกา ก็ประสบปัญหาหลายๆ ด้าน ส่วนใหญ่มักเป็นปัญหาในด้านคุณภาพสินค้า เนื่องจากเป็นงานที่ละเอียดอ่อน และคนงานยังขาดความชำนาญ ถึงผลิตได้แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ลูกค้าต้องการ ต้องคัดออกเสียครึ่งต่อครึ่ง แต่คุณศรชัยก็ไม่ได้ท้อถอยพยายามหาทางแก้ไขโดยเข้าไปติดต่อโดยตรงกับบริษัทที่นำเข้านาฬิกาจากญี่ปุ่น นำสายนาฬิกาที่ทำได้ไปให้ตรวจสอบทั้งรูปแบบและคุณภาพ ช่วงนั้นถึงแม้จะถูกตีคืนกลับมาทุกครั้ง แต่ก็กลับมาแก้ไขให้ดีขึ้นและส่งกลับไปให้ตรวจสอบใหม่อีกทุกครั้ง ทำอย่างนี้จนกระทั่งสินค้าได้มาตรฐาน มีคุณภาพสูง ลูกค้ามีความเชื่อถือ ยอมรับในรูปแบบและคุณภาพถือได้ว่าเป็นคนทำสายนาฬิการุ่นสิงห์ดำคนแรกของประเทศไทย (รุ่นสิงห์ดำ เป็นชื่อรุ่นสายนาฬิกาที่นิยมมากในขณะนั้น) ในยุคนั้น นาฬิกาข้อมือจะถูกนำเข้าจากต่างประเทศเฉพาะตัวเรือนเท่านั้น เนื่องจากการทำสายนาฬิกามีความยุ่งยากและค่าแรงในต่างประเทศก็สูง ทำให้ราคานาฬิกาสูงไปด้วย ประกอบกับแฟชั่นการเปลี่ยนสายนาฬิกากำลังเป็นที่นิยม สายรุ่นสิงห์ดำนี้ขายดีมาก ไม่มีคู่แข่งเลย เพราะต้องใช้เทคนิคพิเศษ อีกทั้งเป็นงานฝีมือมีเน้นความพิถีพิถัน ต้องตรวจสอบทุกขั้นตอน ซึ่งถือเป็นเจ้าเดียวที่ผลิตขายสายรุ่นนี้ขายทั่วประเทศ

          เมื่อกิจการเติบโตอย่างมั่นคงขึ้นโดยลำดับ ทำให้ต้องรับพนักงานเพิ่มขึ้น ในการดูแลพนักงาน คุณศรชัยจะดูแลพนักงานทั้งเท่าและใหม่โดยใช้หลักความยุติธรรมเป็นแนวทางในการปกครอง ดูแลเหมือนพี่ดูแลน้อง ในเวลางานคุณศรชัยจะเป็นคนจริงจังมาก ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ถือว่าเป็นเลยที่เดียว แต่นอกเวลางานก็จะเป็นเจ้านายที่ใจดี คุยเล่นกับพนักงานเสมอ ตกตอนเย็นเลิกงานจะเรียกลูกน้องทุกคนมาพูดคุย อบรม ในเรื่องการทำงานบ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง

          ด้วยความที่เป็นคนขยัน ตื่นแต่เข้ามืด ทุกๆ เข้าจึงมักเข้าไปดูแลความเรียบร้อยในโรงงานก่อนเสมอ จนได้เวลาพนักงานเข้าทำงานกันแล้ว จึงค่อยสั่งงาน แจกแจงงานจนพนักงานเข้าใจ แล้วค่อยกลับมารับประทานอาหารเช้า จากนั้นถ้าไม่ได้ไปติดต่องานข้างนอก ก็จะอยู่แต่ในโรงงานจนถึงเย็น คนงานกลับกันหมดแล้ว ก็เข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่งทำอย่างนี้ทุกวันจนเป็นกิจวัตร เดือนหนึ่งๆ คุณศรชัยแทบจะไม่ได้หยุดงานเลย จนเมื่อแต่งงานกับคุณสุจิตราแล้ว และคุณสุจิตราได้ขอร้องให้หยุดพักบ้าง อย่างน้อยก็สัปดาห์ละหนึ่งวัน คุณศรชัยถึงได้มีวันหยุดเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง

          จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแฟชั่นการเปลี่ยนสายนาฬิกาเริ่มลดลง และมีการใช้สายนาฬิกาสเตนเลสแทนสายหนังกันมากขึ้น คุณศรชัยได้ซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมสำหรับใช้ผลิตสายนาฬิกาสเตนเลส ส่วนเครื่องจักรที่ยังพอจะใช้งานได้ก็ปรับเปลี่ยนจนสามารถใช้ผลิตสายนาฬิกาสเตนเลสได้เป็นอย่างดี และจากการที่ต้องใช้สเตนเลสเป็นวัตถุดิบในการผลิตในเอง คุณศรชัยจึงต้องเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยไปที่ฮ่องกงเพื่อติดต่อซื้อสเตนเลสมาทำสายนาฬิกาด้วยความที่เป็นคนสู้งาน ถึงไหนถึงกัน การเดินทางครั้งนี้คุณศรชัยต้องไปฮ่องกงคนเดียว ไปทั้งที่ภาษาจีนก็พูดไม่ได้มีเพียงจดหมาดติดต่อธุรกิจไปหนึ่งฉบับ กับกระเป๋าเดินทาง ตั้งใจว่า ยังไงก็ต้องทำให้ได้ ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่ยอมกลับกันเลยทีเดียวและในที่สุดคุณศรชัยก็พยายามจนสามารถติดต่อธุรกิจได้ประสบผลสำเร็จ (ครั้งนั้นคุณสุจิตราเล่าให้ฟังว่าคุณศรชัยต้องกินแต่บะหมี่ทุกมื้อ เพราะไม่รู้จะสั่งอาหารอื่นอย่างไร)

 

  

          ปี พ.ศ. 2524 ธุรกิจทำสายนาฬิกาของคุณศรชัยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีการขยายตัวเป็นโรงงานที่ใหญ่ขึ้นโดยที่ซื้อที่ดินแถวซอยพาณิชย์ธนฯ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร (บริเวณโรงงานจากัวร์ในปัจจุบัน) ทำการผลิตสายนาฬิกาหนัง สายนาฬิกาสเตนเลส และได้เปิดแผนกทำเครื่องหนังยี่ห้อจากัวร์เพิ่มขึ้นด้วย โดยมีคุณสุจิตราเป็นผู้ดูแลทั้งการเลือกวัตถุดิบ การออกแบบ การตัดเย็บ จนถึงการตลาด และมีพี่น้องทั้งสองครอบครัวช่วยกันดูแลในส่วนอื่นๆ ทุกคนต่างทุ่มเททำงานจนผลิตภัณฑ์เครื่องหนังของจากัวร์ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เป็นที่เลื่องชื่อในด้านการออกแบบและคุณภาพสินค้า ในขณะเดียวกันธุรกิจสายนาฬิกาก็ได้เริ่มมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซียและในยุโรปอีกหลายประเทศซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของคุณศรชัยและครอบครัวเป็นอย่างมาก ช่วงนั้นหนักงานขายของบริษัทแทบไม่ต้องต้องออกไปเดินหาลูกค้าเลย เพราะลูกค้าจะมาติดต่อเองโดยตรง พนักงานมักมีหน้าที่เพียงจัดส่งสินค้าใหม่ๆ ไปให้ดูเท่านั้น

          เมื่อบริษัทมีความก้าวหน้ามั่นคงดีแล้ว คุณศรชัยก็เริ่มคิดที่จะพัฒนาสินค้าประเภทอื่นไปด้วย เนื่องจากเห็นถึงความไม่แน่นอนของการผลิตสินค้าแฟชั่นอย่างสายนาฬิกาและเครื่องหนัง และจากการที่ต้องติดต่อธุรกิจกับต่างชาติ ได้ทำให้คุณศรชัยพัฒนาวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น มีความเฉียบคมในทางธุรกิจมากขึ้น จุดประกายแนวคิดในเรื่องการนำสเตนเลสมาทำเครื่องครัว รวมถึงช้อนและส้อม (ซึ่งในขณะนั้นคนไทยยังนิยมใช้ช้อนและจานที่ทำจากสังกะสีเคลือบกันเป็นส่วนใหญ่) ถึงแม้จะใช้สเตนเลสเป็นวัตถุดิบในการทำเช่นเดียวกันกับการทำสายนาฬิกา แต่เป็นคนละเทคโนโลยีการผลิต ต้องใช้เครื่องจักร และเทคโนโลยีที่สูงขึ้น คุณศรชัยเริ่มเห็นว่าต้องปรับรูปแบบการทำงาน จะทำอย่างใจสู้อย่างเดียว ลองผิดลองถูกเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ต้องเปลี่ยนมาเป็นการทำงานโดยมีหลักวิชาการรองรับ ได้ติดต่อ ดร.เกียรติชัย ศานติยานนท์ กับ ดร.พล สาเกทอง ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านโรงงานและคอมพิวเตอร์ตามลำดับ ของประเทศไทยให้เกียรติมาเป็นที่ปรึกษา ความถึงการขอคำแนะนำจากองค์กรของต่างประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากคุณโรเบิร์ต ฮาร์ททอต ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหะวิทยาจากประเทศแคนาดาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือชี้แนะ จุดนี้เองที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวทางธุรกิจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณศรชัย

 

 

          คุณศรชัยได้เริ่มทำช้อนและส้อมด้วยสเตนเลส ควบคู่กับการทำสายนาฬิกา โดยเริ่มทำจากจำนวนน้อยๆ ก่อนเพื่อทดลองตลาดและเป็นการฝึกหัดพนักงานไปในตัว ส่วนสายนาฬิกาหนังเริ่มผลิตน้อยลง จนเมื่อแฟชั่นนาฬิกาได้เปลี่ยนรูปแบบอย่างที่คุณศรชัยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว คุณศรชัยจึงค่อยๆ ลดสายการผลิตสายนาฬิกาลง และเริ่มต้นสายการผลิตช้อนส้อม และเครื่องครัวสเตนเลสอย่างเต็มตัว โดยใช้โลโก้ตราหัวเสือ หรือต่อมาเรียกว่าตราจากัวร์ จากความประทับใจในภาพยนตร์เรื่อง ซึ่งต่อมาเป็นเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบสนองจากผู้บริโภคด้วยดีและกิจการได้เจริญก้าวหน้ามากขึ้นเป็นลำดับจึงทำการเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท จากัวร์อินดัสตรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในปี พ.ศ. 2529

 

          อย่างไรก็ดีแม้การเปลี่ยนแปลงกระเภทธุรกิจครั้งนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ และองค์กรต่างประเทศในด้านวิชาการ แต่ก็ยังมีปัญหามาให้แก้ไขอยู่เรื่อยๆ เช่น ปัญหาความเชื่อถือ เนื่องจากการต้องติดต่อกับคู่ค้าใหม่ๆ ที่เป็นบริษัทต่างประเทศ ความเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่คุณศรชัยก็ยึดเอาความถูกต้องและซื่อตรงเป็นหลักประจำใจเสมอในการทำงาน โดยยึดหลัก ขยัน หมั่นเพียร ประหยัด ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และจริยธรรม มีเหตุการณ์ณ์ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นทดสอบความซื่อสัตย์ของคุณศรชัย คือเมื่อต้องส่งเศษสเตนเลส ที่เหลือจากการผลิตสินค้าซึ่งมีเป็นจำนวนมากไปขายที่ญี่ปุ่น ช่วงนั้นมีข่าวเรื่องการทำธุรกิจแบบไม่ซื่อตรงของบริษัทคนไทยหลายแห่งทำให้ทางบริษัทญี่ปุ่นที่ติดต่อทำการค้าสแครปกับคุณศรชัย มีความกลัวว่าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกับบริษัทอื่น จึงขอทำการสุ่มตรวจสอบ ซึ่งขณะนั้นได้ขนลำเลียงลงเรือส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว พนักงานจากัวร์เจรจาอย่างไรทางญี่ปุ่นก็ไม่ยอม ต้องการตรวจสอบให้ได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลามากทีเดียว เพราะนั่นหมายถึงจะต้องแยกชิ้นส่วน ที่ถูกบีบอัดด้วยเครื่องอัดไฮโดรลิกแรงดันสูง เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาด 0.9 เมตร 0.9 เมตร อออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พอคุณศรชัยทราบเรื่องจึงสั่งพนักงานว่าให้ทำการตรวจสอบได้ตามที่บริษัทญี่ปุ่นต้องการ และกำชับว่าในอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ จะสุ่มเลือกจากสแคปก้อนไหนก็ได้ ตู้คอนเทรนเนอร์ไหนก็ได้ รวามถึงได้เห็นถึงการเอาใจใส่ในความต้องการของลูกค้า หลังจากนั้นมาบริษัทญี่ปุ่นก็ไม่เคยขอตรวจสอบอีกเลย

 

 

          งานทุกอย่างที่คุณศรชัยได้ทำนั้นท่านทำด้วยหนึ่งสมองและสองมือ ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ และถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ พี่น้องทุกคนและภรรยามาโดยตลอด เมื่อคุณพ่อเฮาะเม้งยังอยู่ หากมีเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจ คุณศรชัยมักจะปรึกษาคุณพ่อก่อนเสมอไม่ว่าเป็นการขยายกิจการ ซื้อที่ดินทำโรงงาน หรือเรื่องอื่นๆ คุณศรชัยในความรัก ความเคารพ ได้ดูแลท่าน รวมถึงทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ด้วยความรัก ศรัทธา ประสบการณ์เอื้ออาทรที่เป็นแบบอย่างชีวิตพอเพียงของครอบครัว และความเชื่อมั่นของพนักงานและผู้บริหารทั้งระดับสูงและระดับล่างทำให้กิจการเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีกในช่วงดังกล่าว คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร และคณะทำงานในบริษัทได้ไปดูงาน ขายสินค้า ซื้อเครื่องจักรและอื่นๆ ในต่างประเทศมากขึ้น เช่นสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในยุโรปและแถบเอเชีย ฯลฯ พร้อมกับนำเทคโนโลยีใหม่ๆ และการบริหารงานมาปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การจำหน่าย จนได้รับมาตรฐานคุณภาพ 9001-2000 จากผลิตภัณฑ์จากัวร์หลายๆ ชนิด ทำให้ได้สิทธิประโยชน์และเครื่องหมายการค้าจากรัฐบาลของประเทศอินเดีย เวียดนาม พม่า จีน สเปน ฝรั่งเศส มาเลเซียและอื่นๆ อีกรับรองคุณภาพ

          จากการที่คุณศรชัย และคุณสุจิตรา พร้อมพนักงานจำนวนเป็นร้อย ได้ทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานมาตลอดแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี สถาบันการเงินจะคลอนแคลน ปัญหาคนว่างงานจะมากขึ้นสิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำให้คุณศรชัย จันทร์ทายะวิจิตร ท้อถอยกลับใช้กลยุทธ์ในการบริหารจัดการ การครองคนและครองงาน และเศรษฐกิจพอเพียง จนกิจการยิ่งเจริญขึ้นไปอีกมาก และต้องขยายกำลังผลิตเพิ่มเติมดังเช่น พ.ศ. 2532 เปิดบริษัท นำธุรกิจประเภทผลิตกาน้ำและผลิตภัณฑ์ขึ้นรูป พ.ศ. 2534 ขยายโรงงานสาขา และปลูกสวนป่าต้นยูคาลิปตัส พ.ศ. 2538 เปิดบริษัท ทำผลิตภัณฑ์ประเภทมีดสเตนเลส พ.ศ. 2542 เปิดโรงงานสาขา ที่ จ.ตาก พ.ศ. 2545 เปิดบริษัทเป็นผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายสเตนเลสแฟ่นและม้วน พ.ศ. 2547 เปิดบริษัท ผลิตเครื่องใช้สเตนเลสบนโต๊ะอาหารสำหรับตลาดพรีเมี่ยม พ.ศ. 2548 เปิดบริษัท อีเทอร์นอส จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องครัวสเตนเลสทุกชนิดตามลำดับ

 

 

         แม้ว่าบุคลิกของคุณศรชัย จะขยัน อดทน มุ่งมั่น ขอบค้นคว้าและพิสูจน์ด้วยตนเอง และไม่ยอดแพ้ง่ายๆ และการมองการณ์ไกลในลงการธุรกิจสเตนเลส ประกอบกับความสามารถพิเศษในการติดต่อประสานงานที่สามารถพูดได้หลายภาษา เช่น แต้จิ๋ว จีนกลาง ญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ พม่าและฮกเกี้ยน เป็นต้น ทำให้ผู้ค้าต่างชาติและในประเทศเชื่อมั่นและศรัทธา จนไม่มีเวลาพักผ่อนแต่ทดแทนด้วยการไปตรวจโรงงานต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นการพักผ่อน อย่างไรก็ดีเมื่อมีเวลาว่างก็จะอุทิศเวลาหรือบริจาคสิ่งของให้กับองค์การสาธารณะประโยชน์ต่างๆ รวมทั้งโดยเสด็จพระราชกุศล เช่น สมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีฯ สภากาชาดไทย ทุนการศึกษา สนับสนุนการกีฬาด้านยาเสพติด ฯลฯ

 


 

          ทุกคนในครอบครัวนี้ให้ความสำคัญมากกับการศึกษาของบุตรหลานส่งเสริมให้ทุกคนมีความมุมานะในการเรียนอย่างเต็มที่ โดยรวมถึงการศึกษาของบุตรหลานคนอื่นๆ ในครอบครัวก็ได้รับความก้าวหน้าไม่แพ้กัน

         จุดเริ่มต้นของชีวิตการก่อร่างสร้างตัวของคุณศรชัย เรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์เลยทีเดียว แม้จะเริ่มด้วยความยากลำบากแต่เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำ ยึดมั่นในคุณธรรมดีงาม และเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด จึงได้ประสบความสำเร็จจนมีวันนี้ในวันนี้ แม้คุณศรชัยได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่คุณความดีและผลงานในชีวิตต่างๆ ที่ท่านได้ฝากไว้นั้น ถือว่ามีคุณค่ายิ่งนัก ผลงานที่ท่านสร้างขึ้นมาจากความเป็นนักสู้ชีวิต ความรักในงานที่ทำ รักครอบครัว และรักผู้ร่วมงานทั้งหลายที่ได้ร่วมลำบากกันมา ผลงานทั้งหลายเหล่านั้นกำลังผลิดอกออกผลให้ได้ชื่นชม เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย เป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย มั่นคงในความดี ทำการงานอย่างเต็มที่ รู้จักพอเพียง มีความซื่อสัตย์ สุจริต รักความก้าวหน้า ฝึกฝนตนเอง และใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ การจากไปของคุณศรชัย ถือเป็นการสูญเสียบุคลากรที่สำคัญยิ่ง แต่ย่อมไม่นับเป็นการสูญเปล่าเพราะสิ่งที่ท่านได้เพียรสร้างไว้ในวันวานนั้น กำลังงอกงามยังประโยชน์เกื้อกูลต่อคนไทย ทั้งยังสามารถพัฒนาต่อยอดออกไปได้อีกจากฐานรากที่คุณศรชัยได้วางรากฐานไว้ และที่สำคัญ ชีวิตการทำงานของคุณศรชัย ยังเป็นแบบอย่างให้ใครอีกหลายๆ คนได้ยึดถือเป็นแรงบันดาลใจให้เพียรพยายามสร้างความดี ยังความสำเร็จให้กับตนเองได้อย่างคุณศรชัย ซึ่งหากคุณศรชัยได้รับรู้ รับทราบ ท่านคงรู้สึกยินดี และเอาใจช่วยให้บุคคลผู้นั้นได้ประสบความสำเร็จในชีวิตเช่นเดียวกันกับท่าน

Visitors: 54,595